เทคนิคสอบติดแพทย์ มศว. (น้องดรีม)

 

       สมัยเด็กๆพี่เป็นคนที่ไม่สบายง่าย ต้องไปหาคุณหมอบ่อย เลยมีความฝันอยากเป็นแพทย์มาตั้งแต่เด็ก น่าจะประมาณ ม.1 มั้ง และพี่เคยได้ยินว่าคนจะเป็นแพทย์จะต้องตั้งใจเรียนและขยันมากๆ พี่ก็เลยตั้งใจอ่านหนังสือและทำโจทย์มาตั้งแต่ตอนนั้น สมัยนั้นพี่ไม่ชอบวิชาเลขเลย แต่ก็พยายามอ่านหนังสือและทำโจทย์ให้มากขึ้น ไม่เข้าใจอะไรก็ถามคุณครู พี่อาจจะได้คุณครูที่ดีและปูพื้นฐานให้แน่นด้วย ...เลยทำให้เริ่มทำโจทย์แข่งขันได้ เมื่อทำโจทย์ได้แล้วก็มีกำลังใจในการทำโจทย์ที่ยากๆขึ้นไป ส่วนวิชาภาษาอังกฤษ ใช้วิธีท่องศัพท์ ใช้วิธีแบบนี้มาเรื่อยๆและซื้อแบบฝึกหัดมาทำโจทย์พวกreading การทำแบบฝึกหัดเยอะๆและจับเวลาไปด้วยจะช่วยให้เราไม่ลนเวลาทำข้อสอบ นอกจากนี้การจำศัพท์เป็นกลุ่มๆ เช่นจำกลุ่มที่มีความหมายเดียวกันไว้ด้วยกัน จะทำให้เราจำได้แม่นยำ และนำไปใช้ได้ดีขึ้น 

       ตอน ม.4 พี่อาศัยการตั้งใจเรียนในห้องเรียนและทำโจทย์ ทำการบ้านทุกครั้ง ไม่เข้าใจข้อไหนก็ไปถามคุณครู และก็เรียนกวดวิชาในบางวิชาที่ไม่เข้าใจ[แต่ไม่ได้ลงทุกเทอมนะ เลือกเฉพาะวิชาที่เราไม่มั่นใจ เพื่อเป็นการประหยัดเวลา] ที่โรงเรียนของพี่ตอน ม.ปลาย(เตรียมอุดมศึกษา) จะสอนเนื้อหาที่ค่อนข้างยาก ออกข้อสอบยาก ทำให้เป็นการเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยไปในตัว แต่น้องๆที่ไม่ได้เรียนเตรียมฯ ก็ไม่ต้องเสียใจไป เพราะหากเราตั้งใจ และหมั่นทบทวนบทเรียนอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้เราไม่ต้องมาอ่านตอนใกล้ๆสอบหนักมาก ซึ่งอาจจะทำให้ประสิทธิภาพการอ่านลดลง 

       สมัยเรียนอยู่ ม.5 พี่ได้รับเลือกให้เป็นประธานชมรมโครงงานวิทยาศาสตร์ ซึ่งต้องไปประชุมและทำเอกสารค่อนข้างบ่อย ทำให้เวลาทบทวนบทเรียนน้อยลงไปบ้าง พี่ต้องตื่นให้เช้าขึ้น(ตี4) เพื่อมาทำเอกสาร และทบทวนบทเรียน พี่คิดว่าช่วงม.5 เป็นปีที่เรียนหนักที่สุดเลย ไหนจะกิจกรรมด้วย จึงต้องแบ่งเวลาดีๆ บางครั้งต้องแบ่งเวลาไปทำโครงงานวิทยาศาสตร์เพื่อส่งไปแข่งขันที่ต่างประเทศ ยิ่งทำให้เวลาน้อยลงอีก แต่ก็ไม่รู้สึกเสียดายอะไร รู้สึกว่าตอนนั้นเราเลือกทำสิ่งที่เหมาะกับตัวเอง ถ้าไม่ได้ทำโครงงานก็คงจะเสียใจ เพราะ ทำให้ฝึกกระบวนการคิด กระบวนการทำงานเป็นทีม การประสานงานกับผู้ใหญ่ และทักษะการสื่อสาร ซึ่งทักษะเหล่านี้ก็จำเป็นอย่างมากในการเป็นแพทย์ที่ดี

       ตอน ม.5 ก็มีบางช่วงที่ใช้เตรียมตัวเพื่อเข้าค่าย สอวน.ฟิสิกส์ ซึ่งก็ใช้ช่วงนั้นในการเตรียมตัววิชาฟิสิกส์ในการเข้ามหาวิทยาลัยไปเลย(ตอนม.4ก็เข้า แต่ไม่ได้เขียนถึง555 การเข้าค่าย สอวน.ฟิสิกส์ ตอนม.4 ทำให้ทัศนคติของพี่ต่อวิชาฟิสิกส์เปลี่ยนไปมาก จากเดิมที่รู้สึกเฉยๆ กลายเป็นเริ่มชอบ และหยิบโจทย์มาทำบ่อยขึ้น เพื่อนๆในค่ายเป็นกลุ่มคนที่สนใจวิชาฟิสิกส์คล้ายๆกัน ถ้าไม่เข้าใจก็ถามเพื่อน นำความรู้มาแลกเปลี่ยนกัน หรือถามอาจารย์ก็ได้ น้องๆที่สนใจอยากเข้าค่าย สอวน.ลองสมัครสอบเข้าเลย ถือว่าเป็นการหาโอกาสดีๆให้ตัวเองจ้า) ตอน ม.5 นี้ ที่ร.ร. ก็มีโครงการรุ่นพี่ติวรุ่นน้อง เพื่อเตรียมสอบกลางภาค ปลายภาค ซึ่งพี่ก็ได้สมัครเข้าไป และได้มีโอกาสติวน้องๆ ทำให้ได้ทบทวนความรู้ตัวเอง และฝึกทักษะการสื่อสาร การอธิบายให้คนอื่นได้เข้าใจ ตอน ม.5 ควรอ่านเนื้อหาและแบบฝึกหัด ม.ปลายให้จบแล้ว เก็บ ม.6 ไว้ตะลุยโจทย์จ้า

       ตอน ม.6 เป็นปีสุดท้ายของชั้นมัธยมปลาย เพื่อนๆก็จะเริ่มอ่านหนังสือกันหนักขึ้น ช่วงนี้หลายคนก็จะมีความเครียด อาจจะต้องเปลี่ยนแปลงลักษณะการใช้ชีวิตไปจาก ม.4-ม.5 บ้าง เช่น ต้องตื่นเช้า หรือนอนดึกขึ้น มีเวลาคุยกับเพื่อนน้อยลง แต่ก็คงต้องอดทน เพื่ออนาคตของตัวเราเนอะ ก็พยายามทำโจทย์ปีเก่าๆให้หมด และจับเวลา ถ้าโจทย์ข้อไหนทำไม่ได้ ให้กลับไปดูว่าไม่ได้เรื่องอะไรและทวนเรื่องนั้นซ้ำอีกครั้งนึง ที่สำคัญ อย่าลืมหาข้อมูลคณะที่อยากเข้าไว้ให้ดีๆ ว่า ต้องสอบอะไรบ้าง จบไปแล้วไปทำงานอะไร อนาคตอาชีพนี้จะเป็นอย่างไร ในคณะเรียนวิชาอะไรบ้าง เราถนัดวิชาสไตล์นี้ไหมและคณะนี้เหมาะกับเรารึเปล่า ที่สำคัญต้องจำวันสอบและวันสมัครสอบให้ดีๆจ้า เขียนไว้ในปฏิทินเลย 

       ก็อยากให้น้องๆตั้งใจเรียนเนอะ 3 ปีแปปเดียวเอง ไม่ต้องขนาดอ่านหนังสือทั้งวันก็ได้ แค่แบ่งเวลาอ่านสักวันละ 1-2 ชั่วโมงสะสมมาเรื่อยๆ เท่านั้นก็น่าจะเพียงพอละจ้า สำหรับน้องๆที่สอบติดก็ยินดีด้วย ที่ได้เรียนในคณะที่ต้องการ ส่วนน้องๆที่ยังไม่ติด ก็ขอให้สู้ต่อไป การที่เราไม่ติดไม่ได้หมายความว่าเราไม่เก่ง แต่แค่โอกาสของเราอาจจะยังไม่มาถึง ลองทบทวนว่าเรายังต้องปรับปรุงแก้ไขตรงไหน และฝึกฝนให้มากขึ้นการสอบไม่ติดไม่ใช่ The end of the world วันนี้น้องอาจจะมองว่ามันรุนแรงมาก แต่เมื่อน้องโตเป็นผู้ใหญ่ จะมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตเท่านั้นเอง ส่วนน้องๆที่ยังหาตัวเองไม่เจอ อยากให้ลองไปเข้าค่ายเปิดบ้านต่างๆและลองถามพี่ๆที่เรียนในสาขานั้นๆก็ได้ว่าเรียนอะไร ทำงานอะไรยังไง หรือลองหาจากความชอบของตนเองว่าชอบด้านไหนจ้า

       สุดท้ายนี้อยากจะบอกว่า การเรียนและการสอบเข้ามหาลัย ก็เป็นส่วนหนึ่งในการเติบโตของเรา จริงๆแล้วชีวิตมีอะไรให้เรียนรู้อีกมากมาย พี่ไม่อยากให้เรียนแค่ในห้องเรียนเพียงอย่างเดียว แต่อยากให้น้องๆลองหาความรู้เพิ่มเติมและฝึกทักษะด้านอื่นๆ เช่น การมีมนุษยสัมพันธ์ การสื่อสาร การอยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วย จะทำให้น้องๆเป็นผู้ใหญ่ที่ดีและมีคุณภาพ สามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข

พี่ดรีม ชัสมา ไตรสุริยธรรมา 

สอบติดคณะแพทยศาสตร์ มศว. 

 

เเท็กที่เกี่ยวข้อง